"การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี้ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอนี่แหละ จะรู้จะเห็น"
หลวงพ่อเทียน มีแนวคิดมีวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจนก็คือให้มีสติ รู้สึกตัว รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์อยู่ตลอด ไม่เอาจิตเข้าไปข้องเกี่ยวปรุงแต่ง เป็นแค่ผู้รู้ ผู้ดู เห็นธรรมชาติความไม่เที่ยงของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
วิธีการปฏิบัติไม่จำเป็นต้องหลับตา นั่งสมาธิ หรือไปทำที่วัด เราสามารถปฏิบัติและทำได้ตลอดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน กินข้าว ดื่มน้ำ ทำงาน ทุกช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน ถ้าจะนั่งปฏิบัติธรรม ก็มีอุบายเจริญสติด้วยวิธีการขยับมือสร้างจังหวะ 14 จังหวะ เพื่อใช้เป็นเครื่องเหนี่ยวจิตให้มีสติรู้สึกตัว มีปัญญารู้เท่าทันกิเลสอยู่ตลอด
หลวงพ่อเทียนเห็นว่าการขจัดกิเลสได้อย่างสิ้นเชิงต้องใช้ปัญญา และต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงว่า มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เอาจิตไปปรุงแต่ง ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นเรา เป็นของๆ เรา การเก็บความยึดถือในตัวตนเอาไว้แล้วเข้าไปต่อสู้กับกิเลสเป็นสิ่งที่ผิดในความเห็นของหลวงพ่อเทียน เพราะยิ่งจะตอกย้ำความมีตัวตนหรือความต้องการจะสู้กับกิเลสในใจเรา และทำให้ไม่หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นหรือกิเลสสักที และหากปฏิบัติตามนี้หลวงพ่อท่านเอาชีวิตเป็นเดิมพันยืนยันว่า ต้องเห็นผลภายใน 3 ปีอย่างแน่นอน
ครั้งหนึ่งที่ในประเทศสิงคโปร์ มีถามหลวงพ่อในที่ประชุมว่า ท่านรู้ธรรมะถึงที่สุดหรือไม่ หรือยังมีธรรมะที่จะต้องปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงอีก หลวงพ่อได้ตอบว่า "สิ่งที่สูงที่สุดนั้น ย่อมไม่มีอะไรที่จะสูงยิ่งไปกว่าอีก สีที่ดำที่สุดนั้นไม่มีอะไรที่ดำไปกว่าอีก สีที่แดงที่สุดนั้นย่อมไม่มีอะไรที่จะแดงยิ่งไปกว่าอีก"
หลวงพ่อเทียน เดิมมีชื่อจริงว่า พันธ์ อินทผิว แต่ที่คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า ‘เทียน’ ก็เพราะชาวท้องถิ่นได้เรียกชื่อท่านตามชื่อของลูกคนโตที่ชื่อว่าเทียน จึงแผลงติดมาถึงปัจจุบันว่าพ่อเทียน
ช่วงวัยเด็กหลวงพ่อเทียนมีโอกาสบวชเป็นสามเณร และพออายุครบ 20 ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุคอยรับใช้หลวงน้าของตนอยู่ช่วงระยะหนึ่ง ช่วงเวลานั้นท่านได้มีโอกาสฝึกวิชากรรมฐาน และศาสตร์อาคมไสยเวทต่างๆ ต่อมาได้สึก แต่งงานมีครอบครัว แต่ท่านก็ยังฝักใฝ่ในการทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
เมื่ออายุ 45 ปีเศษ ท่านพบว่าการฝึกฝนปฏิบัติที่ผ่านมาของตนหลาย 10 ปี ยังไม่สามารถระงับความโกรธที่เกิดขึ้น เมื่อภรรยาของท่านพูดไม่ถูกใจนิดเดียวก็โกรธ ภรรยาได้เตือนท่านว่า "ถ้าเจ้าโกรธก็ตกนรกแล้วซิ" หลวงพ่อเทียนพิจารณาตามก็เห็นว่าถูก จึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะออกจากบ้านไปมุ่งแสวงธรรม โดยตั้งใจว่าจะไม่กลับจนกว่าจะพบธรรมะที่แท้จริง
หลังจัดการกิจการทรัพย์สินของตนเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดรังสีมุกดาราม ต.พันพร้าว อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย (ปัจจุบันคือ อ.ศรีเชียงใหม่) โดยทำกรรมฐานวิธีง่ายๆ คือ มีสติรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจ ในชั่วเวลาเพียง 3 วัน เชื่อกันว่าท่านสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด โดยปราศจากพิธีรีตองหรือครูบาอาจารย์ ในเวลาเช้ามืดของวันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2500
หลังจากนั้น ท่านได้กลับมาเผยแพร่ชี้แนะสิ่งที่ได้ประสบแก่ภรรยาและญาติพี่น้องเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน โดยในขณะนั้นท่านยังเป็นฆราวาสอยู่ จนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าถ้าหากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว จะทำให้การเผยแพร่ธรรมะสะดวกขึ้น
คำสอนของหลวงพ่อได้แพร่หลายออกไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้มีผู้ปฏิบัติตามเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลวงพ่อได้อุทิศชีวิตให้กับการสอนธรรมะ จนกระทั่งอาพาธเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหารเมื่อปี พ.ศ. 2525 ถึงแม้ว่าสุขภาพของท่านจะทรุดโทรมลงมาก แต่ท่านก็ยังคงทำงานของท่านต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
หลวงพ่อได้ละสังขารอย่างสงบ ณ ศาลามุงแฝกบนเกาะพุทธธรรม สำนักปฏิบัติธรรมทับมิ่งขวัญ ต.กุดป่อง อ.เมือง จ.เลย เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2531 เวลา 18.15 น. รวมอายุได้ 77 ปี และได้ใช้เวลาอบรมสั่งสอนธรรมะแก่คนทั้งหลายเป็นเวลา 31 ปี
พ.ศ. 2454
พันธ์ อินทผิว เกิด
พ.ศ. 2464
บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ 1 ปี 6 เดือน ได้ฝึกวิชากรรมฐานและมนต์คาถาไสยเวทต่างๆ
พ.ศ. 2474
อุปสมบทเป็นภิกษุครั้งแรก หลังบวชอยู่ 6 เดือนก็สึกออกมาในเพศฆราวาส
พ.ศ. 2476
แต่งงานกับนางหอม มีบุตรด้วยกัน 3 คน
พ.ศ. 2500
ออกแสวงธรรม ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องพบธรรมที่ทำให้พ้นทุกข์ให้ได้
พ.ศ. 2503
อุปสมบทเป็นภิกษุครั้งที่สอง
พ.ศ. 2531
ละสังขารจากไปด้วยอาการสงบ
การเจริญสติ เจริญสมาธิ หรือทำสมาธิ ไม่ต้องไปทำมันครับ
แต่ว่าให้เคลื่อนไหว ให้มันรู้สึก
ที่ว่ารู้สึกนี่ล่ะครับ เป็นสติ เป็นสมาธิ
คนที่ไม่รู้จักจิตใจตัวเองนั่นแหละคือคนบ้า การนั่งวิปัสสนาเป็นการศึกษาให้รู้จักจิตใจตัวเอง ถ้านั่งแล้วเป็นบ้าไม่ใช่วิปัสสนา
พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียวนั้น ไม่ใช่ตัดผมจริงๆ
คืออันนี้แหละมันขาดออกจากกัน เลือดทุกหยดจะหวนกลับทั้งหมด
เชือกที่เราผูกไว้นั่นน่ะ มันจะกลับเข้าสู่หลักเดิมทั้งหมด
![]() |
คู่มือการทำความรู้สึกตัว. หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ |
แด่เธอผู้รู้สึกตัว. หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
(หนังสือเสียง)
หลวงพ่อเทียน สร้างจังหวะ
สุภัทร์ อักษราชัยพฤกษ์